ในยุคที่การทำงานและการเรียนรู้ไร้พรมแดน โปรแกรมประชุมออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเสมอไป เพราะมีโปรแกรมคุณภาพดีที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรีมากมาย บทความนี้ได้รวบรวมโปรแกรมประชุมออนไลน์ฟรียอดนิยมแห่งปี 2025 มาให้คุณเปรียบเทียบ พร้อมเจาะลึกข้อดี-ข้อจำกัด เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้ตรงใจที่สุด

1. Zoom: ขวัญใจมหาชน ใช้งานง่าย ฟีเจอร์ครบ

Zoom ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง ด้วยความเสถียรและอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่าย ทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

• ข้อดี:
  • ใช้งานง่ายมาก: ไม่ว่าใครก็สามารถเริ่มประชุมและเข้าร่วมได้อย่างรวดเร็ว
  • คุณภาพเสียงและวิดีโอดี: มีความเสถียรสูงแม้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก
  • ฟีเจอร์พื้นฐานครบ: แชร์หน้าจอ, แชท, Whiteboard, และ Virtual Background
• ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี:
  • จำกัดเวลา 40 นาที: สำหรับการประชุมกลุ่ม (3 คนขึ้นไป)
  • ไม่มีระบบบันทึกบนคลาวด์: บันทึกได้แค่บนเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น
• เหมาะสำหรับ: การประชุมสั้นๆ, การคุยงานด่วน, การเรียนการสอนที่ไม่ยาวนาน หรือการใช้งานส่วนตัวที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว

2. Google Meet: เรียบง่ายและทรงพลังสำหรับผู้ใช้ Google

Google Meet เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ใช้บริการของ Google อยู่แล้ว เช่น Gmail และ Google Calendar เพราะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ

• ข้อดี:
  • เชื่อมต่อกับ Google Workspace: สร้างลิงก์ประชุมจาก Google Calendar หรือ Gmail ได้ทันที
  • เข้าใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ได้เลย: ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม ทำให้สะดวกต่อผู้เข้าร่วมภายนอก
  • ความปลอดภัยสูง: อยู่บนมาตรฐานความปลอดภัยของ Google
• ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี:
  • จำกัดเวลา 60 นาที: สำหรับการประชุมกลุ่ม
  • ฟีเจอร์ขั้นสูงบางอย่าง เช่น Breakout Rooms และการบันทึกประชุม สงวนไว้สำหรับเวอร์ชันเสียเงิน
• เหมาะสำหรับ: องค์กรหรือบุคคลที่ใช้ Google Workspace เป็นหลัก, การประชุมที่เน้นความเรียบง่ายและต้องการการเชื่อมต่อกับปฏิทินที่สะดวก

3. Microsoft Teams: มากกว่าแค่ประชุม แต่คือพื้นที่ทำงานร่วมกัน

สำหรับองค์กรที่ใช้ Microsoft 365 อยู่แล้ว Teams คือคำตอบที่ใช่ที่สุด เพราะเป็นศูนย์กลางการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง

• ข้อดี:
  • ผสานกับ Microsoft 365: แชร์และแก้ไขไฟล์ Word, Excel, PowerPoint ได้ทันทีในการประชุม
  • ฟีเจอร์ฟรีที่ครบครัน: ให้พื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ 5GB ต่อผู้ใช้, มี Whiteboard และฟีเจอร์แชทที่ทรงพลัง
  • เวลาประชุมนาน: ประชุมกลุ่มได้นานสูงสุด 60 นาที
• ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี:
  • อาจซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ใหม่: เนื่องจากมีฟังก์ชันหลากหลายนอกเหนือจากการประชุม
  • ฟีเจอร์ด้านการจัดการและความปลอดภัยขั้นสูงจะอยู่ในเวอร์ชันเสียเงิน
• เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ใช้ Microsoft 365, ทีมที่ต้องการแพลตฟอร์มที่รวมทั้งการแชท, ประชุม, และจัดการไฟล์ไว้ในที่เดียว

4. LINE Meeting: สะดวก รวดเร็ว สำหรับคนไทย

แอปแชทยอดนิยมของคนไทยก็มีฟีเจอร์ประชุมออนไลน์ที่ใช้งานได้ดีและสะดวกมาก ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่มเติม

• ข้อดี:
  • เข้าถึงง่าย: อยู่ในแอป LINE ที่ทุกคนคุ้นเคย ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่
  • สร้างห้องง่าย: สามารถสร้างลิงก์ประชุมแล้วแชร์ในแชทกลุ่มได้ทันที
  • รองรับผู้เข้าร่วมได้เยอะ: สูงสุดถึง 500 คน
• ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี:
  • ฟังก์ชันไม่ซับซ้อน: เน้นการประชุมเป็นหลัก อาจไม่มีฟีเจอร์ขั้นสูงอย่าง Whiteboard หรือระบบบันทึกการประชุม
  • เหมาะกับการใช้งานบนมือถือและแท็บเล็ตมากกว่าบนคอมพิวเตอร์สำหรับบางคน
• เหมาะสำหรับ: การประชุมที่ไม่เป็นทางการ, การรวมกลุ่มเพื่อน, การประชุมด่วนที่ต้องการความสะดวกและเข้าถึงง่ายที่สุดสำหรับคนไทย

5. Cisco Webex: เน้นความปลอดภัยระดับองค์กร

Webex เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

• ข้อดี:
  • ความปลอดภัยสูง: มีระบบเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง
  • ฟีเจอร์ AI: มีระบบช่วยลดเสียงรบกวนและแปลภาษาแบบเรียลไทม์ (อาจจำกัดในเวอร์ชันฟรี)
• ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี:
  • จำกัดเวลา 40 นาที: สำหรับการประชุมกลุ่ม
  • ข้อจำกัดฟีเจอร์บางอย่างอาจเข้มงวดกว่าคู่แข่ง
• เหมาะสำหรับ: การประชุมที่ต้องการความเป็นทางการและเน้นความปลอดภัยของข้อมูล

บทสรุป

การเลือกโปรแกรมประชุมออนไลน์ฟรีที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับ “ลักษณะการใช้งาน” ของคุณ หากต้องการความง่ายและเร็ว Zoom หรือ LINE Meeting คือตัวเลือกที่ดี หากทำงานในระบบนิเวศของ Google หรือ Microsoft การใช้ Google Meet หรือ Microsoft Teams จะช่วยให้การทำงานราบรื่นที่สุด สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจข้อจำกัดของแต่ละโปรแกรม เพื่อให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่สะดุดกลางคัน